วันเสาร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2562

ตม.สนามบิน ติวเข้มปีใหม่รับคลื่นต่างชาติเที่ยวไทย


ตม.สนามบิน ติวเข้มปีใหม่รับคลื่นต่างชาติเที่ยวไทย

พ.ต.อ.เชิงรณ ริมผดี รอง ผบก.ตม.2 ในฐานะรองโฆษก สตม.เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 27 ธ.ค.2562 เวลา 13.30 น. พล.ต.ต.วีรพล เจริญศิริ ผบก.ตม.2 ได้เรียกประชุมผู้บังคับบัญชา และ หัวหน้าด่าน ตม.สนามบินหลักในสังกัด 5 แห่ง ได้แก่ สุวรรณภูมิ ดอนเมือง ภูเก็ต เชียงใหม่ และหาดใหญ่ ติวเข้ม "แผนอำนวยความสะดวกพิธีการตรวจคนเข้าเมืองช่วงเทศกาลปีใหม่" ซึ่งจะเข้าสู่ช่วงวันหยุดยาวตั้งแต่วันที่ 27 ธ.ค.2563

จากการประเมินสถานการณ์ คาดว่า จะมีผู้เดินทางเข้าออกราชอาญาจักรสูงสุด 2 ช่วง คือ ช่วงวันที่ 27-29 ธ.ค.2562 และ ช่วง 2 -4 ม.ค.2563 ซึ่งเป็นช่วงก่อน และ หลัง วันส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ โดยเฉพาะช่วงวันที่ 20 ธ.ค 2562 - 5 ม.ค 2563 จะมีเที่ยวบินเพิ่มขึ้น เป็นขาเข้า 45 เที่ยวบิน ขาออก 46 เที่ยวบิน เฉลี่ยต่อวันสูงสุดราว 445 เที่ยวบิน


พล.ต.ต.วีรพลฯได้สั่งกำชับ หน.ด่าน ให้ปฏิบัติตามมาตรการตามแผนปีใหม่ ที่สำคัญคือ
1.มาตรการวิเคราะห์ -โดยให้ประเมินสถานการณ์เที่ยวบินรายชั่วโมง ทุกวัน ร่วมกับการท่าอากาศยาน AOT เพื่อระดมกำลังพลให้เหมาะสมกับปริมาณผู้โดยสาร
2.มาตรการระดมคน -ให้ทุกด่านจัดกำลังพลเสริมการปฏิบัติในช่วงเวลาหนาแน่นเต็มทุกช่องตรวจ ตามสั่งการของ พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม.พร้อมกำชับ จนท.ห้ามขาดลา ในช่วงปฏิบัติตามแผนปีใหม่โดยเด็ดขาด
3. มาตรการ 3 ประสาน - คือ สายการบิน การท่าอากาศยาน AOT และ ตม. ต้องทำงานร่วมกันเป็นระบบ โดยเฉพาะกำชับให้ประสานงานร่วมสายการบิน ในการเปิด check-in ล่วงหน้า ไม่น้อยกว่า 3 ชม. เพื่อเผื่อเวลาให้กับผู้โดยสารขาออกในช่วงเที่ยวบินหนาแน่น ที่ต้องใช้เวลาในการ check-in ราว 1 ชม.และ ต้องผ่านการตรวจสัมภาระติดตัวตามมาตรการรักษาความปลอดภัยของ การท่าฯ ตามมาตรฐาน ICAO ก่อนผ่านการตรวจหนังสือเดินทาง ซึ่งจำเป็นต้องใช้เวลาให้ทันขึ้นเครื่อง รวมถึงการแจกเอกสาร immigration card แก่ผู้โดยสารต่างชาติขาเข้า และกรอกข้อมูลให้ครบถ้วน เพื่อลดเวลาที่หน้าช่องตรวจหนังสือเดินทาง


4.มาตรการความมั่นคง -ให้ จนท.ทุกนาย ให้ความสำคัญต่อการอำนวยความสะดวกในการตรวจเข้าออกประเทศ โดยยึดหลักด้านความมั่นคง เพื่อป้องกันกลุ่มคนร้ายต่างชาติ ที่อาศัยโอกาสแฝงตัวเป็นนักท่องเที่ยวในช่วงดังกล่าว โดยเฉพาะช่วงเที่ยวบินหนาแน่น ซึ่งจะมีการประสานหน่วยงานข่าวกรองเพื่อประเมินภัยคุกคามที่จะเข้ามาทำลายบรรยากาศการท่องเที่ยว โดยเบื้องต้นยังไม่มีข้อมูลภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วง โดยให้ติดตามข่าวอย่างใกล้ชิด
5.มาตรการด้านเทคโนฯ-โดยใช้ระบบ Biometric เป็นระบบหลักในการตรวจจับบุคคลเฝ้าระวัง และ ป้องกันการปลอมแปลงเอกสารการเดินทาง โดยเฉพาะ กลุ่ม Impostor ที่ใช้หนังสือเดินทางผู้อื่นแฝงตัวเข้าไทย
6.มาตรการควบคุม- ให้ รองผู้บังคับการ และ ผู้กำกับการ หัวหน้าด่าน ควบคุมบริหารสถานการณ์ด้วยตนเอง เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการแก้ปัญหา ตามนโยบาย พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร และ พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม.


โดย พล.ต.ต.วีรพลฯ ได้ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์ด้วยตนเอง เมื่อคืนวันที่ 28 ธ.ค.2562 ที่ด่าน ตม.ดอนเมือง ยืนยันสามารถรับมือได้ดี

พ.ต.อ.เชิงรณฯ ได้ฝากย้ำเตือนผู้เดินทางให้เตรียมเอกสารการเดินทางโดยเฉพาะหนังสือเดินทางที่อายุไม่น้อยกว่า 6 เดือน และ การเผื่อเวลา check-in ล่วงหน้าอย่างน้อย 3 ชม.

ทั้งนี้ ผู้โดยสารสามารถสอบถามการใช้แอพลิเคชัน AOT Airports ได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 0 2029 7889 และสอบถามเที่ยวบินและการบริการต่างๆ ได้ที่ AOT Contact Center หมายเลขโทรศัพท์ 1722 ตลอด 24 ชั่วโมง





"ตำรวจนำ้ " ทำงาน กิน นอน ชายหาด ทุ่มสุดตัวดูแลประชาชนเที่ยวปีใหม่ 63


"ตำรวจนำ้ " ทำงาน กิน นอน ชายหาด ทุ่มสุดตัวดูแลประชาชนเที่ยวปีใหม่ 63

จากการที่มีการเผยแพร่ภาพทางสื่อโซเชียลเกี่ยวกับการปฎิบัติหน้าที่ของตำรวจในช่วงเทศกาลปีใหม่นี้มีภาพของเจ้าหน้าที่ตำรวจปฏิบัติหน้าที่ตามเกาะ,แหล่งท่องเที่ยวได้รับความนิยมปรากฎภาพการตั้งจุดตรวจและมีการกางเต็นท์ เป็นที่พักให้ด้วยเป็นที่น่าสนใจของนักท่องเที่ยวจึงได้มีการแชร์กันในโลกโซเชียล
  จากการหาข้อมูลของนักข่าวได้ทราบว่าเป็นการตั้งจุดตรวจบริการนักท่องเที่ยวบนเกาะหลีเป๊ะ จ.สตูล ซึ่งเป็นจุดบริการของสถานีตำรวจน้ำสตูล




   ภาพตำรวจน้ำสตูล กางเต้นท์นอนเป็นแนวคิดที่เกิดขึ้นหลังไปให้บริการนักท่องเที่ยงบนเกาะหลีเป๊ะ จ.สตูล ซึ่ง บนเกาะหลีเป๊ะ ไม่มีที่ทำการของตำรวจนำ้  ประกอบกับช่วงนี้เป็นช่วงเทศกาลนักท่องเที่ยวมาเป็นจำนวนมากทำให้ห้องพักบนเกาะหลีเป๊ะมีจำนวนไม่พอกับนักท่องเที่ยวประกอบกับตำรวจน้ำไม่อยากรับการสนับสนุนจากภาคเอกชน จึงยึดความพอเพียงด้วยการใช่วิธีกางเต้นท์ริมหาดเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการบริการนักท่องเที่ยวสูงสุดตลอด24ชม. โดยกำลังพลที่ปฎิบัติหน้าที่กินอิ่มนอนหลับได้เป็นอย่างดี




สำหรับบนเกาะหลีเป๊ะ มีกำลังตำรวจน้ำหมุนเวียน ประมาณ 20 นาย นำเรือตรวจการณ์ 521  โดยมี พ.ต.ท.บรรเจิด มานะเวช สารวัตรตำรวจนำ้สตูล หัวหน้าชุด และที่เกาะพีพี จังหวัดกระบี่ มี พ.ต.ท. ราเชนทร์ สวนคำศรี สารวัตรตำรวจนำ้กระบี่หัวหน้าชุด ก็ดำเนินการเช่นกันโดยทำงานร่วมกับตำรวจพื้นที่ ทหารเรือ กรมเจ้าท่า ตำรวจท่องเที่ยว ร่วมดูแลนักท่องเที่ยวตลอด 24 ชั่วโมง  โดยกำลังพลบางส่วนจะประจำการอยู่บนเรือ ส่วนที่เหลือจะสับเปลี่ยนมาให้บริการนักท่องเที่ยวที่ริมหาด พ.ต.อ. จตุรวิทย์ คชน่วม ผกก.9 บก. ตำรวจนำ้ กล่าว




      ตามนโยบายของท่าน  พล.ต.ท.สุทิน ทรัพย์พ่วง ผบช.ก. น้อมนำ พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยให้ผู้ปฏิบัติสนองต่อแนวทางพระราชกระแสห่วงใยและพระราชดำรัสของพระองค์ท่านที่ทรงห่วงใยชีวิตของคนไทยทุกคนในช่วงเทศกาลปีใหม่บูรณาการร่วมกับจิตอาสาพระราชทานในพื้นที่ในการดูแลความปลอดภัยในการเดินทาง




ทางกองบังคับการตำรวจน้ำภายใต้กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางนำโดย
พล.ต.ต.ศิร์ธัชเขต ครูวัฒนเศรษฐ์ ผบก.รน. ได้สั่งการให้ตำรวจน้ำ ทุกพื้นที่ทั่วประเทศเริ่มปฎิบัติการดูแลนักท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ตั้งแต่วันที่ 25 ธ.ค. 2562 - 5 มกราคม 2563 มุ่งหวังให้อุบัติทางทะเล และทางน้ำต้องเป็นศูนย์  ทำงานบูรณาการร่วมกับทุกภาคส่วน จิตอาสาพระราชทาน ตามแนวนโยบายของท่านผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางมาใช้ในการปฎิบัติหน้าที่




ส่วนสถิตินักเที่ยวที่เดินทางมาท่องเที่ยวจังหวัดกระบี่ และ สตูล เมื่อปี 2562 ที่ผ่านมา พบว่ามีนักท่องเที่ยวเดินทางมาท่องเที่ยวในช่วงปีใหม่ประมาณ 1.5 หมื่นคนและคาดว่าปีนี้จะมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาชมความงดงามของทะเลอันดามัน และหมู่เกาะต่างๆมากกว่าปีที่แล้ว





วันพฤหัสบดีที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2562

ผอ.ศปสก.ตร. รับฟังปัญหาข้อเสนอแนะจาก กต.ตร.ภ.จว.เชียงราย


ผอ.ศปสก.ตรรับฟังปัญหาข้อเสนอแนะจาก กต.ตร..จว.เชียงราย

วันที่ 26 ..62 พล...ศตวรรษ หิรัญบูรณะ ประจำ (สบ 9)ตร.(ปป1)(สส1)(มค1) / ผอ.ศปสก.ตร.ประชุมขับเคลื่อนศูนย์ปราบปรามการลักลอบนำเข้าสินค้าเกษตรโดยผิดกฏหมาย ตร.(ศปสก.ตร.) พื้นที่ .จว.เชียงราย  สภ.เชียงแสน จว.เชียงราย , รับฟังปัญหาข้อเสนอแนะจากกต.ตร..จว.เชียงราย และมอบรางวัลผู้ทำคุณประโยชน์สูงสุดให้กับ ตร.เป็นประโยชน์ส่วนรวมในกิจการตำรวจ จนเห็นเป็นที่ประจักษ์





กรมธนารักษ์ เดินหน้าเร่งเจรจาขอคืนที่ราชพัสดุบริเวณอ่างเก็บน้ำเขื่อนภูมิพล (บางส่วน) ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ของ กฟผ. เนื้อที่ประมาณ 16,193-2-03 ไร่ เพื่อนำไปดำเนินการตาม นโยบายรัฐบาล ภายใต้โครงการ "ธนารักษ์ประชารัฐ"


กรมธนารักษ์ เดินหน้าเร่งเจรจาขอคืนที่ราชพัสดุบริเวณอ่างเก็บน้ำเขื่อนภูมิพล (บางส่วน)
ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ของ กฟผ. เนื้อที่ประมาณ 16,193-2-03 ไร่ เพื่อนำไปดำเนินการตาม
นโยบายรัฐบาล ภายใต้โครงการ "ธนารักษ์ประชารัฐ"

กรมธนารักษ์ ร่วมกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ลงนามส่งมอบที่ราชพัสดุ บริเวณอ่างเก็บน้ำเขื่อนภูมิพล (บางส่วน) เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการแก้ปัญหาด้านที่อยู่อาศัย และไร้ที่ดินทำกินของประชาชนตามนโยบายของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ดร.อุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และนายประสงค์ พูนธเนศ ปลัดกระทรวงการคลัง ที่ต้องการให้ประชาชนเข้าถึงโอกาสด้านที่อยู่อาศัย และที่ดินทำกิน ผ่านการรับรองสิทธิในการใช้ประโยชน์ที่ดินรัฐ หรือ ที่ราชพัสดุ ณ ห้องประชุม ชั้น 8 อาคาร 72 ปี กรมธนารักษ์



นายยุทธนา หยิมการุณ อธิบดีกรมธนารักษ์ กล่าวว่า วันนี้ (26 ธันวาคม 2562) กรมธนารักษ์ และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการส่งมอบที่ราชพัสดุบริเวณอ่างเก็บน้ำเขื่อนภูมิพล (บางส่วน) ในเขตพื้นที่อำเภอจอมทอง อำเภอฮอด และอำเภอดอยเต่า จังหวัดเชียงใหม่ ในส่วนที่สูงเหนือกว่าระดับ 260.50 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง (รทก.) ตามแนวเขตหนังสือสำคัญสำหรับที่ดินในที่ราชพัสดุ จำนวน 7 ฉบับ เนื้อที่ประมาณ 16,193-2-03 ไร่ ซึ่งกรมธนารักษ์จะนำที่ดินแปลงดังกล่าว ดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลด้านการบริหารทรัพย์สินของประเทศ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำของสังคม เพิ่มคุณภาพชีวิตของประชาชน และสร้างโอกาสการเข้าถึงบริการของรัฐ ภายใต้โครงการ "ธนารักษ์ประชารัฐ" โดยดำเนินการสำรวจรังวัด จัดทำแผนที่ผู้ครอบครองที่ราชพัสดุที่ไม่โต้แย้งกรรมสิทธิ์ ซึ่งครอบครองอยู่ก่อนวันที่ 4 ตุลาคม 2546 ด้วยการจัดให้เช่าที่ถูกต้อง อันเป็นการสร้าง
ความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัยและที่ทำกินของประชาชน

อธิบดีกรมธนารักษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ภายหลังจากการส่งมอบพื้นที่ กรมธนารักษ์จะดำเนินการร่วมกับเจ้าหน้าที่ กฟผ. ลงพื้นที่ตรวจสอบแนวเขตที่ราชพัสดุและข้อมูลจำนวนราษฎรที่ครอบครองใช้ประโยชน์
ที่ราชพัสดุบริเวณอ่างเก็บน้ำเขื่อนภูมิพล เพื่อนำไปแก้ปัญหาผู้ครอบครองที่ดินบริเวณ ดังกล่าว จำนวน 5,000 ราย ในเขตพื้นที่อำเภอจอมทอง อำเภอฮอด และอำเภอดอยเต่า จังหวัดเชียงใหม่ให้เป็น "ผู้เช่า" ที่ราชพัสดุถูกต้องตามกฎหมายต่อไป




สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) จัดโชว์ผลงานเด่น ประจำปี 2562


สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) จัดโชว์ผลงานเด่น ประจำปี 2562 และผลงานวิจัยที่พัฒนาต่อยอดให้เกิดมูลค่าเพิ่ม พร้อมมอบประกาศนียบัตรแก่นักวิจัย และเผยทิศทางการวิจัยและพัฒนาในปี 2563 เน้นตอบโจทย์ BCG มุ่งสู่ประเทศไทย 4.0

วันที่ 26 ธันวาคม 2562 รองศาสตราจารย์ นายแพทย์สรนิต ศิลธรรม ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เป็นประธานในพิธี “โชว์ผลงานเด่น ประจำปี 2562” พร้อมมอบประกาศนียบัตรเพื่อประกาศเกียรติคุณและแสดงความขอบคุณนักวิจัยที่เข้าร่วมงานประกวดและจัดแสดงในเวทีนานาชาติ ณ ห้องประชุมจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ชั้น 2 อาคาร วช.1 สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ โดยมี ศาสตราจารย์ นายแพทย์สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ ให้การต้อนรับ


ศาสตราจารย์ นายแพทย์สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ กล่าวว่า “วช. ภายใต้สังกัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เป็นหน่วยงานขับเคลื่อน และบริหารจัดการทุนวิจัยและนวัตกรรมของประเทศ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของอว. ในด้านการวิจัยและสร้างนวัตกรรมเพื่อตอบโจทย์
ท้าทายของสังคม การพัฒนาเชิงพื้นที่ การเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และตามเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ระบบวิจัยและนวัตกรรมของประเทศ เพื่อให้เกิดผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรม และเกิดผลสัมฤทธิ์  มีผลการดำเนินงานที่เกิด impact สูงต่อเศรษฐกิจและสังคม มีการริเริ่มงานใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์ปัญหาสำคัญของประเทศ”
“โดย วช. มีความพร้อมและยกระดับการทำงานตามภารกิจใหม่ด้วยหลัก วช. 5G เป็นส่วนราชการที่มีประสิทธิภาพสูง รวดเร็ว คล่องตัว พร้อมขับเคลื่อนการวิจัยและนวัตกรรมสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและสังคม


บทบาท PMU ในการบริหารจัดการงานวิจัยและนวัตกรรม
PMU เป็นกลไลสำคัญในการบริหารงบประมาณการวิจัยและนวัตกรรม ตามยุทธศาสตร์ ววน. ซึ่งประกอบด้วย สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) (สนช.) สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) (สวก.) สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) และหน่วยบริหารจัดการทุนภายใต้สภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม 3 หน่วย ได้แก่ หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนากำลังคน และทุนด้านการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษา การวิจัยและการสร้างนวัตกรรม (บพค.) หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประทศ (บพข.) และหน่วยบริหารและจัดการทุนวิจัยและนวัตกรรมด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) ซึ่งไม่ได้มีหน้าที่เฉพาะการให้ทุนเท่านั้น การเปลี่ยนแปลงระบบ
ในการบริหารจัดการทุนในปัจจุบัน และที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต ถือเป็นมิติใหม่ของการบูรณาการทำงานร่วมกันของหน่วยงานเครือข่ายในระบบวิจัยและนวัตกรรมของประเทศ มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการบริหารจัดการทุนวิจัยและนวัตกรรม เป็นแบบ Streamline Process คือ ใช้ระบบ Online 100% มีกลไก Outcome Delivery Units (OUD) เชื่อมโยงการทำงานแบบบูรณาการระหว่างหน่วยงานทั้งภายในและภายนอกกระทรวง เป็นการให้ทุนแบบ Program Funding และ Matching fund กับภาคเอกชน รวมถึงมีการติดตาม ประเมินผล โดยทุกภารกิจมีการเชื่อมโยงและสอดคล้องกัน “


“นอกจากการบริหารงบประมาณการวิจัยและนวัตกรรมของประเทศแล้ว การพัฒนาบุคลากรด้านการวิจัยและนวัตกรรมของประเทศ ได้มีการบริหารจัดการเพื่อให้เกิดการพัฒนาบุคลากรด้านการวิจัยฯ ที่ตอบเป้าหมายประเทศ มีกลไกการสร้างแรงจูงใจ ทั้งในเชิงการให้รางวัลแก่นักวิจัยในทุกช่วงวัย ตั้งแต่นักวิจัยรุ่นเยาว์ นักวิจัย
รุ่นใหม่ นักวิจัยรุ่นกลาง และนักวิจัยอาวุโส โดยมุ่งเน้นการเพิ่มจำนวนนักวิจัยไม่น้อยกว่า 25 คน ต่อประชากร 10,000 คน ในปี 2564 และ 60 คน ต่อ 10,000 คน ในปี 2579”


วช. พร้อมเป็นศูนย์กลางข้อมูลการวิจัยและนวัตกรรมของประเทศ เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลการวิจัยและนวัตกรรมระดับชาติและนานาชาติกับระบบสารสนเทศของหน่วยงานในระบบวิจัยและนวัตกรรม ตลอดจนพัฒนาระบบประมวลผลอัจฉริยะ และ Artificial Intelligent (AI) ที่สามารถแสดงผลได้ทุกมิติในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและสนับสนุน การตัดสินใจเชิงบริหาร และการใช้ข้อมูลร่วมกัน โดยการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศที่ทันสมัย เชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงาน เพื่อตอบสนองต่อการปฏิรูประบบวิจัยและนวัตกรรมของประเทศในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล และสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมตามแผนการปฏิรูปประเทศ เพื่อให้เข้าถึงได้ง่ายและสะดวกต่อใช้ประโยชน์จากผลงานวิจัย



การดำเนินงานระบบข้อมูลสารสนเทศกลางด้าน ววน. ในปีงบประมาณ 2562 ได้มีการดำเนินงานเพื่อเตรียมความพร้อมในการเป็นศูนย์กลางข้อมูลวิจัยและนวัตกรรมของประเทศ โดยการกำหนด Road Map และ Time line ในการดำเนินงาน รวมถึงมาตรฐานและชุดข้อมูลเพื่อการเชื่องโยง และออกแบบระบบฐานข้อมูลกลางและระบบให้บริการข้อมูล โดยคาดหวังว่าเมื่อศูนย์กลางข้อมูล ววน. ดำเนินการเสร็จสมบูรณ์จะเกิดประโยชน์ต่อประชาคมในระบบวิจัย “วิจัยไทยใช้ได้จริง”


วช. ได้สนับสนุนและส่งเสริมการวิจัยและนวัตกรรม ซึ่งประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดี สามารถตอบโจทย์และแก้ไขปัญหาของประเทศไทยได้ อาทิ
• โครงการธนาคารปูม้าเพื่อ “คืนปูม้าสู่ทะเลไทย” โดยการขับเคลื่อนแผนบูรณาการให้เกิดการวิจัยและนวัตกรรมรวมถึงการขยายผลธนาคารปูม้าไปสู่ชุมชน สามารถเพิ่มทรัพยากรในทะเลให้มากขึ้น ทำให้ชาวประมงมีเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ปัจจุบันมีการขยายผลธนาคารปูม้าไปแล้วจำนวน 531 แห่ง ครอบคลุมพื้นที่ชุมชนชายฝั่ง 20 จังหวัด
• ระบบข้อมูลคุณภาพอากาศแบบเบ็ดเสร็จ เกิดจากความร่วมมือกันระหว่างสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (จิสด้า) เครือข่ายพันธมิตรมหาวิทยาลัยเพื่อการวิจัย กับกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) จัดทำ Platform ที่มีการตรวจวัดค่าฝุ่นละออง PM 2.5 ที่มีความถูกต้อง แม่นยำ เป็นมาตราฐานเดียวกัน
• การปลดล็อคส่งออกมะม่วงไปสหรัฐอเมริกา เป็นความสำเร็จในส่งออกมะม่วงน้ำดอกไม้สีทองไทยไปยังตลาดประเทศสหรัฐอเมริกาได้สำเร็จเป็นครั้งแรกในรอบ 12 ปี  จากเดิมประเทศไทยมีปัญหาการส่งออกมะม่วงสุกเข้าสู่ตลาดต่างประเทศ โดยมีการบริหารจัดการวัตถุดิบครบวงจร จนได้คุณภาพดีตามข้อกำหนดเพื่อให้แน่ใจว่าผลไม้ที่นำเข้าประเทศจะปลอดภัยและไม่มีเชื้อโรคหรือแมลงพาหะปนเปื้อน ซึ่งเป็นการตอบโจทย์ BCG Model โดยประเทศไทยสามารถส่งออกมะม่วงล็อตแรกแล้วเมื่อวันที่ 17 – 19 ตุลาคม ที่ผ่านมา


การสนับสนุนสิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรมเข้าสู่เวทีนานาชาติเป็นกิจกรรมหนึ่งที่สำคัญ ของ วช. ที่ได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งเสริมและผลักดันให้ผลงานวิจัยและผลงานประดิษฐ์คิดค้นของนักวิจัย นักประดิษฐ์ไทย ได้ก้าวสู่เวทีระดับสากลอันจะเป็นการสร้างโอกาสในการแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับนักวิจัย  นักประดิษฐ์นานาชาติ และพัฒนายกระดับศักยภาพของนักวิจัย นักประดิษฐ์ไทย ตลอดจนการสร้างขวัญกำลังใจ ที่จะสร้างสรรค์ผลงานที่มีคุณภาพออกสู่ตลาดโลกให้มากยิ่งขึ้น จากผลการดำเนินงานที่ผ่านมาปรากฏผลสำเร็จเป็นอย่างดียิ่ง และได้รับความสนใจจากนานาประเทศเป็นอย่างยิ่ง


พร้อมยกระดับมาตราฐานห้องปฏิบัติการ สู่การขับเคลื่อนมาตรฐานความปลอดภัยห้องปฏิบัติการทั้งในระดับชาติและนานาชาติ เพื่อสร้างการยอมรับในระดับสากล โดยมีห้องปฏิบัติการที่ผ่านการตรวจประเมินและรับรองห้องปฏิบัติการปลอดภัยเพื่อการยอมรับร่วม (peer evaluation) จำนวน 240 ห้องปฏิบัติการ และบุคคลากรได้รับการพิจรณา ประกอบด้วย มีผู้ประเมิน มอก. 41 คน และผู้ประเมินตามเกณฑ์ (peer evaluation) 57 คน
โครงการวิจัยท้าทายไทย : การวิจัยมุ่งเป้าเพื่อประชาชน
วช. ได้สนับสนุนโครงการวิจัยท้าทายไทย ซึ่งเป็นการวิจัยที่แก้ปัญหาท้าทายของประเทศ ตัวอย่างของผลสำเร็จจากโครงกานวิจัยท้าทายไทย เช่น ประเทศไทยไร้พยาธิใบไม้ตับ (Grand Challenges Thailand : Fluke Free Thailand) ซึ่ง วช. ได้ให้การสนับสนุนมหาวิทยาลัยขอนแก่น ร่วมกับโครงการแก้ไขปัญหาโรคพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดีในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (Cholangiocarcinoma Screening and Café program : CASCAP) และสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส) ผ่านโครงการวิจัยการพัฒนาระบบสาธารณสุข เพื่อศึกษาในการแก้ไขปัญหาโรคพยาธิใบไม้ในตับและมะเร็งท่อน้ำดีในภาคตะวันออกฉียงเหนือแบบครบวงจรตั้งแต่ระดับปฐมภูมิ ทุติยภูมิ และตติยภูมิ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงการบริการที่เกี่ยวข้องกับพยาธิใบไม้ตับ และมะเร็งท่อน้ำดีอย่างทันเวลา ไม่เพียงแต่ประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังขยายนวัตกรรมที่ได้ไปยังกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านอีกด้วย เพื่อป้องกันการระบาดของโรคที่ทำให้เกิดการระบาดกลับมายังประเทศไทย


ทางด้านวิจัยเพื่อผลิตดอกออกผล วช. ได้ส่งเสริมและถ่ายทอดความรู้เพื่อการใช้ประโยชน์ในเชิงพื้นที่เพื่อตอบโจทย์ เศรษฐกิจฐานราก ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม ส่งผลกระทบในเชิงเศรษฐกิจและสังคม เช่น “เครื่องอบแห้งแบบถังทรงกระบอกหมุนด้วยรังสีอินฟราเรดร่วมกับลมร้อนปล่อยทิ้ง” เป็นเครื่องอบแห้งขนาดเล็ก ที่ช่วยลดระยะเวลาและพื้นที่ตากผลผลิตทางการเกษตร โดย วช. ได้มอบเครื่องดังกล่าวให้แก่เกษตรกร ใน 17 จังหวัด ซึ่งทำให้เกษตรกรสามารถเพิ่มปริมาณผลผลิต และคุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่ดี ลดระยะเวลาการผลิตและความเสี่ยงในการผลิตจากสภาพดินฟ้าอากาศ


เชื่อมไทยเชื่อมโลกด้วยงานวิจัย
วช. ได้มีการขับเคลื่อนเครือข่ายความร่วมมือกับต่างประเทศ (ไทย-จีน) ภายใต้นโยบาย “หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง (Belt and Road Initiative : BRI)”  โดย วช. ได้สนับสนุนให้มีการศึกษาวิเคราะห์ วิจัย รวมถึงการถ่ายทอดองค์ความรู้ร่วมกันระหว่างสองประเทศ โดยเชื่อมโยงความสัมพันธ์ไปถึงระดับภูมิภาคอาเซียนด้วย นอกจากนี้ วช. ยังได้ร่วมจัดตั้งศูนย์แห่งความเป็นเลิศนานาชาติ ดิจิดัลหนึ่งแถบหนึ่งหนึ่งเส้นทาง (DBAR) กรุงเทพฯ ร่วมกับสถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์จีน  (CAS) สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย , สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) และศูนย์วิจัยการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศระดับภูมิภาค และพลังงานทดแทน มหาวิทยาลัยรามคำแหง ทำการวิจัยและบูรณาการข้อมูลด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ และด้านสิ่งแวดล้อมเสริมสร้างขีดความสามารถด้านการวิจัย รวมทั้งดำเนินการต่าง ๆ ที่มุ่งสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ วช. ยังมีความร่วมมือด้านพลังงานระหว่าง วช. และ Korea Institute of Energy Technology Evaluation and Planning (KETEP) สาธารณรัฐเกาหลี โดยได้ร่วมผลักดันการวิจัยที่ตอบโจทย์นโยบายด้านพลังงานของรัฐบาลที่นำผลการวิจัยแก้ไขปัญหาชาติ และสร้างเสริมความมั่นคงทางพลังงาน และผลักดันให้อุตสาหกรรมพลังงานสามารถสร้างรายได้ให้ประเทศและพัฒนาให้เป็นศูนย์กลางธุรกิจพลังงานของภูมิภาคอาเซียนโดยใช้ความได้เปรียบเชิงภูมิยุทธศาสตร์ นอกจากนี้  ยังส่งเสริมและพัฒนาบุคลากรให้มีศักยภาพสามารถเรียนรู้และถ่ายทอดองค์ความรู้ที่เป็นเลิศจากสาธารณรัฐเกาหลี


ตลอดระยะเวลา 60 ปีที่ผ่านมา วช. ได้ดำเนินการขับเคลื่อนการวิจัยและนวัตกรรมของประเทศอย่างต่อเนื่อง จากการสนับสนุนให้นักประดิษฐ์และนักวิจัยไทยเข้าสู่เวทีนานาชาติในระดับโลก ปี 2562 ที่ผ่านมานักวิจัยและนักประดิษฐ์ไทย สามารถคว้ารางวัลจากการประกวดและจัดแสดงผลงานในเวทีนานาชาติใน 2 เวที คือ เวที “The International Trade Fair-Ideas, Inventions and New Products” (iENA 2019) ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 31 ตุลาคม – 3 พฤศจิกายน 2562 ณ เมืองนูเรมเบิร์ก สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี และเวที “Seoul International Invention Fair 2019” (SIIF 2019) ระหว่างวันที่  27 – 30 พฤศจิกายน 2562 ณ กรุงโซล สาธารณรัฐเกาหลี

cr: บดินทร์ นิลมานนท์
สมาคมหนังสือพิมพ์ส่วนภูมิภาคแห่งประเทศไทย(สภท.55ปี)